สมเด็จพระพันปีหลวง ของ โอลกา คอนสแตนตินอฟนา แห่งรัสเซีย

เหตุการณ์การลอบปลงพระชนม์พระเจ้าจอร์จที่ 1

ภาพโปสการ์ดพระราชพิธีฝังพระบรมศพของพระเจ้าจอร์จที่ 1

ใน ค.ศ. 1913 สงครามบอลข่านครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิออตโตมันต่อกองทัพพันธมิตรกรีซ บัลแกเรีย เซอร์เบียและมอนเตเนโกร การขยายอาณาเขตของราชอาณาจักรกรีซที่ได้รับจากตุรกีได้ทำให้เกิดความขัดแย้ง และเห็นได้ชัดอย่างรวดเร็วคือความขัดแย้งระหว่างกองทัพพันธมิตรสันนิบาตบอลข่าน รัฐบาลกรุงเอเธนส์และรัฐบาลกรุงโซเฟียต่างพยายามต่อสู้กันเพื่อครอบครองแคว้นเทสซาโลนีกี[67]

เพื่อเป็นการยืนยันสิทธิของราชอาณาจักรกรีกเหนือเมืองหลักของแคว้นมาซิโดเนีย พระเจ้าจอร์จที่ 1 จึงเสด็จไปยังเมืองเหล่านั้น หลังจากชัยชนะทางการทหารขององค์รัชทายาท คือ มกุฎราชกุมารคอนสแตนติน ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1912 ในระหว่างที่ประทับอยู่ที่เมืองเทสซาโลนีกีเป็นเวลานาน ทุก ๆ วันพระองค์มักจะเสด็จพระดำเนินไปตามท้องถนน อย่างที่ทรงเคยทำเป็นประจำในกรุงเอเธนส์ แต่ในวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 1913 นักอนาธิปไตย อเล็กซานดรอส ไซนัส ได้กระทำการลอบปลงพระชนม์พระเจ้าจอร์จที่ 1 ด้วยอาวุธปืนหนึ่งนัด ในขณะที่พระองค์กำลังเสด็จพระดำเนินอยู่ใกล้ ๆ หอคอยขาว[68]

ในช่วงที่พระสวามีถูกลอบปลงพระชนม์ สมเด็จพระราชินีโอลกาทรงอยู่ห่างไกลจากพระองค์ โดยประทับอยู่ที่เอเธนส์ พระสุณิสา คือ มกุฎราชกุมารีโซเฟียและเจ้าหญิงเฮเลน พระราชนัดดา ทรงเป็นผู้นำข่าวมาแจ้งแก่พระองค์[N 1] เมื่อพระองค์ทรงทราบ สมเด็จพระราชินีทรงพยายามทำให้พระทัยเย็นลงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และตรัสว่า "มันคงเป็นไปตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า" และพระนางทรงเตรียมการเสด็จไปยังเทสซาโลนีกีในวันถัดไป เมื่อถึงเมืองแถบมาซิโดเนีย สมเด็จพระราชินีโอลกาและพระราชวงศ์เสด็จไปยังสถานที่เกิดเหตุและเสด็จไปรับพระบรมศพก่อนที่จะเสด็จกลับกรุงเอเธนส์ มีการฝังพระบรมศพที่พระราชวังตาโตย[69]

สำหรับสมเด็จพระราชินีโอลกา เหตุการณ์นี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่ทรงต้องสูญเสียพระสวามี อีกทั้งยังทรงสูญเสียบทบาทอย่างเป็นทางการในการประกอบพระราชกรณียกิจในฐานะสมเด็จพระราชินี การขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าคอนสแตนตินที่ 1 ได้ทำให้พระชายาของพระองค์ คือ พระนางโซเฟีย ได้กลายเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งกรีซพระองค์ใหม่ ในตอนนี้พระนางโอลกาจึงกลายเป็นสมเด็จพระพันปีหลวง ซึ่งทรงต้องย้ายไปประทับที่ตึกปีกของพระราชวัง แต่ก็ประทับไม่นานนัก เนื่องจากพระองค์เสด็จกลับไปเยือนภูมิลำเนาของพระนาง ซึ่งประทับอยู่กับแกรนด์ดยุกคอนสแตนติน คอนสแตนติโนวิชแห่งรัสเซีย พระอนุชาและครอบครัวอย่างเป็นเวลานานที่พระราชวังปาฟลอฟก์[70]

เสด็จกลับรัสเซียและสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

พระราชวังปาฟลอสก์ ใกล้เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 สมเด็จพระพันปีหลวงโอลกาประทับอยู่ที่รัสเซียในช่วงการปะทุของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[71] ซึ่งประเทศสัมพันธมิตร ได้แก่ รัสเซีย อังกฤษและฝรั่งเศส ทำการรบกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง ได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน พระองค์ตัดสินพระทัยประทับในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กและทรงก่อตั้งโรงพยาบาลทหารเพื่อสนับสนุนด้านการสงครามของรัสเซีย[72]

ขณะประทับอยู่ที่พระราชวังปาฟลอสก์ ซึ่งในตอนนี้ผู้ครอบครอง คือ แกรนด์ดยุกคอนสแตนติน คอนสแตนติโนวิช พระอนุชาของพระนาง สมเด็จพระพันปีหลวงโอลกาทรงก่อตั้งคลินิกที่พระราชวังนี้เพื่อรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บโดยทรงดำเนินการร่วมกับแกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ มาฟริเคียฟนา พระชายาในพระอนุชา สมาชิกพระราชวงศ์พระองค์อื่น ๆ เช่น เจ้าหญิงเฮเลนแห่งเซอร์เบีย และพระนัดดาของพระนางโอลกา คือ แกรนด์ดัชเชสมาเรีย ปาฟลอฟนา ได้ทำการก่อตั้งโรงพยาบาลภาคสนามในแนวหน้า[73]

แต่สงครามเลวร้ายลงและก่อให้เกิดวิกฤตที่รุนแรงในรัสเซีย สมเด็จพระพันปีหลวงโอลกาทรงพยายามเตือนถึงภัยอันตรายที่พระราชวงศ์ต้องเผชิญ และพระองค์ทรงพยายามเตือนจักรพรรดินีอะเลคซันดรา ฟอโดรอฟนา พระมเหสีในจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ใน ค.ศ. 1916 ถึงภัยอันตรายของการปฏิวัติแต่จักรพรรดินีปฏิเสธที่จะรับฟัง ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา สมเด็จพระพันปีหลวงโอลกาแห่งกรีซทรงต้องประสบกับความพิโรธของจักรพรรดินีอะเล็กซันดรา หลังจากที่จักรพรรดินีทรงต้องลงพระนามในคำขออภัยโทษให้แก่พระนัดดาของพระนางโอลกา คือ แกรนด์ดยุกดมิตรี ปาฟโลวิช ซึ่งทรงถูกเนรเทศไปยังสงครามที่แนวหน้าเปอร์เซีย ในข้อหาที่ทรงมีส่วนร่วมในการลอบสังหารนักรหัสยลัทธิคนโปรดของจักรพรรดินี คือ กริกอรี รัสปูติน[74]

การปฏิวัติรัสเซีย

ดูบทความหลักที่: การปฏิวัติรัสเซีย
พระบรมสาทิสลักษณ์พระนางโอลกา วาดโดย ยอร์โยส จาโคบีดีส ใน ค.ศ. 1915

ในที่สุด การปฏิวัติก็ได้เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 ระบอบซาร์ล่มสลาย สถานะของสมเด็จพระพันปีหลวงโอลกาและครองครัวของพระนางก็ประสบกับความยากลำบากอย่างรวดเร็ว พระขนิษฐาและพระนัดดาของพระองค์ตัดสินพระทัยเสด็จออกจากวังปาฟลอสก์ แต่สมเด็จพระพันปีหลวงโอลกายังคงประทับอยู่ที่เดิม ทรงปฏิเสธที่จะเสด็จออกไป และท้ายที่สุดทรงพบว่าพระนางเองต้องประทับอย่างโดดเดี่ยว เหลือแต่เพียงข้าราชบริพารหญิงชื่อว่า แอนนา เอกอรอวา (หลังจากการปฏิวัติเอกอรอวาได้ทำงานรับใช้เจ้าชายคริสโตเฟอร์แห่งกรีซและต่อมากลายเป็นพระอภิบาลในพระโอรสของพระองค์ เจ้าชายไมเคิล[75]) เนื่องจากการขาดแคลนอาหาร สตรีทั้งสองจำต้องรับประทานเพียงขนมปังแห้ง ๆ ชิ้นเล็กที่แช่ในน้ำมันคุณภาพต่ำ โดยเฉพาะในปาฟลอสก์ ความปลอดภัยของที่นี่ไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ และเพียงเวลาไม่กี่วันหลังจากการปฏิวัติเดือนตุลาคม พวกบอลเชวิกบุกรุกและเข้าปล้นพระราชวัง พระนางโอลกาทรงไม่ได้รับอันตรายใด ๆ นางสนองพระโอษฐ์เป็นผู้ที่พยายามปกป้องพระนางจากฝูงชนปฏิวัติ[76]

พระนางตัดสินพระทัยที่จะเสด็จออกจากรัสเซียด้วยความจำเป็น แต่กลุ่มบอลเชวิกพยายามที่จะไม่ให้พระนางเสด็จหนีไปและความช่วยเหลือทางการทูตจากกรีซก็ไม่มีมาถึงเนื่องจากประสบปัญหาความแตกแยกแห่งชาติ โดยในทางตรงกันข้ามกับสมเด็จพระพันปีหลวงโอลกา คือ พระโอรสองค์โตของพระองค์ พระเจ้าคอนสแตนตินที่ 1 ทรงดำเนินนโยบายทางการเมืองที่เป็นกลาง[77] พระมารดาของพระองค์ทรงเป็นชาวรัสเซีย และพระมเหสีของพระองค์ทรงเป็นชาวเยอรมัน เป็นพระขนิษฐาในจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี นโยบายทางการเมืองของพระองค์ทำให้ทรงต้องมีความขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรี อีเลฟเทริออส เวนิเซลอส ซึ่งนิยมฝ่ายสัมพันธมิตร พระเจ้าคอนสแตนตินทรงถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้นิยมเยอรมันและรัฐบาลเอเธนส์ได้รับการยกย่องอย่างน่าสงสัยในลอนดอนและปารีส เหตุการณ์นี้จึงเรียกว่า "ความแตกแยกแห่งชาติ" นายกรัฐมนตรีเวนิเซลอสจัดตั้งรัฐบาลคู่ขนานที่เทสซาโลนิกีเพื่อต่อต้านพระเจ้าคอนสแตนติน ในเดือนมิถุนายน พระเจ้าคอนสแตนตินทรงถูกปลดออกจากราชบัลลังก์และต้องลี้ภัยไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ต้องการให้กรีซเป็นสาธารณรัฐและไม่ต้องการให้มกุฎราชกุมารจอร์จ ครองราชย์สืบต่อ ราชบัลลังก์จึงถูกแทนที่ด้วยพระโอรสองค์ที่สองครองราชย์เป็น พระเจ้าอเล็กซานเดอร์แห่งกรีซ ผู้ซึ่งถือกันว่าทรงนิยมสัมพันธมิตรมากกว่า และควบคุมได้ง่ายกว่าพระเชษฐา[78] เวนิเซลอสได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจอย่างเต็มรูปแบบ ในขณะที่ผู้สนับสนุนกษัตริย์พระองค์ก่อนได้ถูกจับกุมหรือประหารชีวิต[79]

การลี้ภัยครั้งแรก

หลังจากทรงร้องขอความช่วยเหลือมาเป็นเวลาหลายปี สถานเอกอัครราชทูตเดนมาร์กในรัสเซียได้ออกหนังสือเดินทางให้สมเด็จพระพันปีหลวงโอลกา ซึ่งพระองค์ทรงใช้เดินทางเข้าเยอรมนีในวันก่อนที่เยอรมนีจะพ่ายแพ้ และในที่สุดทรงเข้าไปร่วมกับพระโอรสองค์โตและพระราชวงศ์ที่ลี้ภัยอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงต้น ค.ศ. 1919[80] ส่วนสมาชิกพระราชวงศ์รัสเซียพระองค์อื่น ๆ ไม่สามารถหลบหนีออกมาได้ พระราชวงศ์เหล่านี้ได้ถูกปลงพระชนม์ซึ่งมีทั้งจักรพรรดิ จักรพรรดินีและพระโอรสธิดาทั้งห้าพระองค์, พระเชษฐาและพระอนุชาของพระนางโอลกา แกรนด์ดยุกนิโคลัสและแกรนด์ดยุกดมิตรี ตามลำดับ, พระนัดดาทั้งสามของพระนางโอลกา ได้แก่ เจ้าชายจอห์น, เจ้าชายคอนสแตนตินและเจ้าชายอิกอร์ รวมทั้งพระเชษฐภคินีในพระจักรพรรดินี คือ แกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย[81]

ในสวิตเซอร์แลนด์ พระเจ้าคอนสแตนตินที่ 1 และพระราชวงศ์ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและไม่มีรายได้ รัฐบาลกรีกภายใต้นายกรัฐมนตรีเวนิเซลอสปฏิเสธไม่จ่ายเงินประจำปีแก่อดีตกษัตริย์และสั่งห้ามการติดต่อใด ๆ กันระหว่างกษัตริย์ผู้ลี้ภัยกับพระโอรสคือ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ เนื่องด้วยพระพลานามัยเริ่มที่อ่อนแอ อดีตกษัตริย์มีพระอาการซึมเศร้ามากขึ้น[82] การปฏิวัติรัสเซียและการแตกแยกแห่งชาติได้ทำให้สมเด็จพระพันปีหลวงโอลกาถูกเพิกถอนสิทธิในทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์และทรงต้องดำรงพระชนม์ที่ฟุ่มเฟือยน้อยลงเมื่อเทียบกับในอดีต[83] แต่พระนางก็ทรงทำได้ ทรงมีความสุขกับการใช้เวลามากขึ้นประทับกับพระโอรสและพระนัดดา หลังจากที่ต้องทรงแยกจากกันตลอดระยะเวลาสงครามที่ยาวนาน[84]